Skip to main content

เด็กหญิงคนหนึ่งเคยฝันว่าจะได้เรียนต่อหลังจบป.สี่ แล้วเธอก็ได้โอกาสนั้นจริงๆอย่างยิ่งกว่าที่ฝัน หลังจากเธอหนีเข้าป่าเมื่ออายุ 16 ปี

ช่วงทศวรรษที่ 2510 เด็กหญิงคนนั้นเติบโตขึ้นมาในจังหวัดพัทลุงท่ามกลางการถูก “ชักเย่อ” จากทั้งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) จากโจรผู้ร้ายในพื้นที่ และจาก “นาย” ซึ่งหมายถึงเจ้าหน้าที่รัฐไทย พ่อของเธอเห็นว่าการเข้าไปขับเคลื่อนร่วมกับพคท.น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับคนในพื้นที่ จึงได้เข้าป่าไปร่วมเคลื่อนไหวสร้างกองกำลังที่เข้มแข็งจนทำให้ทางบ้านถูกเพ่งเล็งและตกเป็นเป้าการคุกคามจากเจ้าหน้าที่รัฐ เมื่อรู้สึกว่าบ้านไม่ใช่ที่ปลอดภัยอีกต่อไป สุดท้ายเธอตัดสินใจเดินตามพ่อและแม่ของเธอเข้าสู่เขตป่าเขาภูบรรทัดบริเวณรอยต่อระหว่างจังหวัดพัทลุง ตรัง และสตูล ในวันที่เดินออกจากบ้าน เธอคงไม่คิดไม่ฝันว่าการออกเดินทางครั้งนั้นจะพาเธอจากบ้านไปไกลถึงประเทศจีน

ช่วงชีวิต “สหายชาวนา” ของคุณบุปผา (เธอขอสงวนนามสกุล) หรือชื่อจัดตั้งสหายขวัญอาจมีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดคล้ายคลึงกับของบรรดา “สหายนักศึกษา” ส่วนใหญ่ที่เข้าป่าเมื่อถูกฝ่ายขวาล่าล้างและกลับมาออกมาเป็น “ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย” (ถึงตัวเธอจะหนีเข้าป่าตั้งแต่ปี 2515 และไม่กลับออกมาจนปี 2526 ก็ตาม) ทว่าเรื่องของสหายขวัญต่างไปอย่างสำคัญในแง่ของการศึกษา ที่ตัวเธอประทับใจไม่รู้ลืมต่อการศึกษาที่ได้รับในโลกคอมมิวนิสต์ ห่างไกลจากความรู้สึกว่ามันตีกรอบความคิดอย่างคับแคบหรือใช้ประโยชน์ไม่ได้จริง สำหรับสหายขวัญ มันกลับเป็นเบ้าหลอมให้เธอเป็นคนกล้าหาญ กล้าแสดงออก และให้เธอสามารถทำตนเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นได้ การได้เป็น “นักศึกษา” คือโอกาสครั้งสำคัญในชีวิตที่ยังตราตรึงแจ่มชัดในความทรงจำ ความตราตรึงนั้นบอกได้จากการที่เธอเลือกใช้ชื่อ “ขวัญ” เป็นชื่อเล่นนับตั้งแต่ออกมาจากป่าจนกระทั่งทุกวันนี้

วัยเยาว์ในพื้นที่สีแดง

ครอบครัวฉันเป็นครอบครัวใหญ่ที่มาฐานะค่อนข้างดี ครอบครัวฝั่งพ่อเป็นครอบครัวผู้มีอันจะกินครอบครัวหนึ่งในจังหวัดพัทลุง มีพื้นเพมาจากพื้นที่เขาเจียกในอำเภอเมืองพัทลุง เขาเจียกนี่เป็นพื้นที่ที่พคท.เข้ามาฝังตัวทำงานเป็นพื้นที่แรกๆของจังหวัด ส่วนครอบครัวทางแม่ก็มีคนในตระกูลเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ระดับท่านขุน เรียกว่าฝั่งแม่นี่เป็นตระกูลศักดินาเก่าเลยก็ว่าได้

พ่อของฉันเป็นเกษตรกร บุคลิกของพ่อเป็นพวกใจนักเลง ขยันทำงาน ตอนที่พ่อมาแต่งงานกับแม่พ่อนับเป็นเขยคนแรกของตระกูล ด้วยนิสัยของพ่อที่เป็นคนขยันเลยทำให้เป็นที่รักของครอบครัวยาย

พ่อกับแม่ของฉันมีลูกสิบคน ฉันเป็นลูกคนที่สามและเป็นลูกสาวคนเดียว ลูกคนที่เหลือเป็นผู้ชายทั้งหมด น้องชายคนเล็กไปเกิดในป่า ตอนเด็กๆพวกพี่ๆน้องๆผู้ชายเขาก็เล่นอะไรห้าวๆแก่นๆตามประสาเด็กผู้ชายอย่างเล่นฟันกระบี่กระบองกัน แล้วพอโตขึ้นมาหน่อยก็สูบบุหรี่กันควันโขมง พอต้องอยู่ท่ามกลางพี่ๆน้องๆที่เป็นผู้ชายทั้งหมดตัวฉันก็เกือบกลายเป็นผู้ชายไปด้วย ดีว่าฉันเข้าป่าไปเสียก่อน

พื้นที่ที่ฉันอยู่เป็นพื้นที่ที่มีโจรชุกชุม คนของทางการ หรือข้าราชการที่ชาวบ้านเรียก ‘นาย’ นอกจากจะไม่ให้ความช่วยเหลือชาวบ้านในพื้นที่แล้วบางทียังข่มเหงรังแกชาวบ้าน ไม่ให้ความเป็นธรรม หรือบางครั้งก็ไปสมคบกับโจร ทำให้คนในพื้นที่รู้สึกไม่มีที่พึ่ง

ระหว่างที่คนในพื้นที่กำลังเผชิญกับปัญหาทั้งจากโจรและจากนาย ก็มีญาติจากเขาเจียกมาอยู่ที่บ้านฉัน แล้วเขาก็มาช่วยถางป่า ทำไร่ ทำนา แล้วก็ชวนพ่อฟังวิทยุปักกิ่งทุกๆเย็น หลังจากนั้นก็เริ่มมีคนแปลกหน้าจากนอกพื้นที่เข้ามาที่บ้านบ่อยมากขึ้น ทำให้นายเริ่มเพ่งเล็งบ้านของฉัน และเริ่มมีการมาติดตามคุกคามจนพ่อไม่กล้านอนที่บ้าน หลายๆคืนพ่อต้องหลบไปนอนตามป่า ขณะที่สถานการณ์ในพื้นที่ก็ตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งปี 2507 พ่อก็ตัดสินใจเข้าป่าแบบถาวร ฉันจำได้ว่าก่อนเข้าป่า พ่อถือเป็น ‘สายมู’ คนนึงเพราะมีทั้งผ้ายันต์ ทั้งพระเครื่อง แต่พอตัดสินใจเข้าป่า พ่อก็ทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลังหมดเลย

พอพ่อเริ่มเข้าป่าแบบถาวรทางการก็เริ่มมากดดัน มาคุกคามที่บ้าน พยายามเค้นความลับจากแม่ฉันว่ารู้มั๊ยพ่อไปไหน ได้ติดต่อกันบ้างไหม บางทีก็เอากำลังมาปิดล้อมบ้าน เจ้าที่รัฐรู้ว่าพ่อเป็นแกนนำในการเคลื่อนไหวให้คนตื่นตัวเข้าร่วมกับพคท. ร่วมกับแกนนำที่มาจากเขาเจียกและจากต่างจังหวัด เลยกลัวจะมาดึงคนในชุมชนไปเข้าร่วมหรือเป็นสายให้กับพคท. พอถึงปี 2512 ที่มีการหย่อนบัตรเลือกผู้แทน แม่ของฉันกับพี่ชายคนโตพร้อมกับเพื่อนบ้านอีกจำนวนหนึ่งก็ตามพ่อเข้าป่าไป เพราะกลัวอันตราย มีข่าวว่าผู้หญิงที่สามีเข้าป่าถูกจับหรือถูกฆ่าไม่ต่างจากผู้ชาย ฉันเชื่อว่าจริงๆแม่ก็น่าจะเป็นห่วงคนที่บ้าน แต่ก็คิดว่าถ้าที่บ้านเหลือแค่คนแก่กับลูกๆที่ตอนนั้นยังเล็กมาก ทหารคงไม่กล้าทำอะไร แต่ถ้าแม่ยังอยู่ที่บ้านก็อาจจะมีอันตราย เลยตัดสินใจไป หลังแม่เข้าป่าไปในปี 2512 ในปี 2514 พี่ชายคนที่สองของฉันก็ตัดสินใจเข้าป่าไปอีกคน

พอถึงช่วงปลายปี 2514 ก็เริ่มมีกรณีถังแดง ที่ทหารจับตัวคนในพื้นที่ที่สงสัยว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับพคท.ไปฆ่าแล้วเผาศพในถังน้ำมันสีแดง สถานการณ์ในชุมชนก็ตึงเครียดขึ้น ตัวฉัน ตัดสินใจเข้าป่าปลายปี 2515 มีอายุได้ประมาณ 16 ปี ก็ต้องตัดสินใจเข้าป่าเพราะเห็นตัวอย่างจากลูกพี่ลูกน้องที่แม้จะอายุยังไม่ถึง 20 ปี ก็หายตัวไป ยิ่งตัวพี่มีพ่อเป็นคนที่มีความสำคัญระดับนำในพื้นที่ถ้าขืนอยู่ข้างนอกต่อไปคงไม่รอดแน่ๆ

สหายขวัญในวัยเด็ก (แถวหน้าคนกลาง)

เติบโตในเขตป่าเขา

วันที่เดินทางเข้าป่าฉันเดินทางไปกับน้องชายคนที่สี่ จำได้ว่าตอนที่ออกเดินทางฉันร้องไห้โฮเลย เพราะน้องก็ยังเล็กเกินกว่าจะทำกับข้าวกินเองได้ แต่ตอนนั้นก็ต้องตัดสินใจแล้วเพราะถ้าเราไม่ไปก็อาจไม่ได้อยู่มาถึงวันนี้

ตอนแรกที่ฉันเข้าป่า มีคนจากหมู่บ้านร่วมเดินทางไปด้วยเยอะพอสมควร เพราะสถานการณ์ตอนนั้นมันตึงเครียด คนในพื้นที่หลายคนก็กลัวกันว่าถ้าไม่รีบเข้าป่าก็อาจถูกทหาร ‘เก็บ’ ไปเสียก่อน ช่วงแรกที่เข้าป่าฉันได้เข้าไปอยู่กับพ่อและแม่ในเขตงานพัทลุง หลังจากนั้นตัวฉันก็ถูกย้ายไปอยู่ที่ค่ายเขตสองซึ่งอยู่บริเวณรอยต่อสามจังหวัดพัทลุง ตรังและสตูล

การเดินทางจากค่ายเขตสี่ ไปถึงค่ายเขตสองนี่ไม่ง่ายเลย พวกเราต้องเดินทางไปตามภูบรรทัดเป็นเวลาราวครึ่งเดือน การเดินทางพวกเราจะเดินทางเฉพาะกลางวัน ค่ำตรงไหนก็นอนตรงนั้นพอเช้าหุงข้าวกินก็เดินทางต่อ ป่าที่พวกฉันต้องเดินผ่านเป็นป่าดึกดำบรรพ์เลย แล้วตรงนั้นก็มีทากเยอะ ฉันก็กลัวไม่กล้าจับทาก เวลาถูกกัดต้องขอให้สหายทหารป่าที่มารับไปที่ค่ายช่วยจับทากออกให้

วันที่เดินทางไปถึงที่ค่ายเป็นวันหนึ่งที่ฉันรู้สึกอบอุ่นมาก ถึงจะรู้ว่าทางข้างหน้าจะมีอะไรที่ลำบากรออยู่ แต่ภาพที่สหายตั้งแถวรอต้อนรับพวกเราตอนไปถึงที่ค่ายก็ทำให้รู้สึกได้ถึงความรักและความผูกพันในหมู่สหายที่แม้จะมาจากต่างที่กันแต่ก็มาอยู่ที่นี่ด้วยเป้าหมายเดียวกัน

หลังเข้าป่าไปอยู่ที่ค่ายเขตสอง ฉันต้องเรียนรู้โลกใบใหม่ ต้องเรียนสถานการณ์การเมืองตามแนวทางของพรรค ชีวทัศน์เยาวชน เรียนรู้แบบอย่างนักปฏิวัติจากประเทศจีน รวมถึงเรียนคติพจน์เหมาเจ๋อตง สิ่งที่ได้เรียนรู้นี้มีส่วนสำคัญที่ทำให้ฉันเป็นคนที่มีความกล้า เข้มแข็งอดทน ไม่กลัวความยากลำบาก นอกจากเรียนรู้เรื่องการเมืองแล้ว ฉันก็ต้องเรียนการทหารด้วย ต้องฝึกท่าทางการรบหลายๆแบบท่ากลิ้ง ท่าหมอบ ท่าคลาน แต่ตอนนั้นอาวุธขาดแคลน ทหารใหม่อย่างพวกพี่ก็จะไม่ได้ฝึกกับปืนต้องเอาแท่งไม้มาฝึกเอา ตอนหลังถึงได้มาฝึกใช้งานปืนจริงๆแล้วก็เรียนรู้วิธีดูแลรักษาปืนของเรา

การใช้ชีวิตในป่าไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องขึ้นเขาลงห้วยเพื่อไปปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมาย ข้าวก็ไม่ค่อยพอกิน บางครั้งก็ต้องกินข้าวต้มกับแกงน้ำเคย แต่ตอนนั้นฉันก็ไม่ได้สนใจความยากลำบาก มีแต่ความรู้สึกสนุก รู้สึกภูมิใจที่ได้ทำในสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ทหารป่าเป็นทหารที่มีวินัยมาก มีกฎระเบียบ แบบแผน และตารางเวลาที่ชัดเจนว่าแต่ละวันต้องทำอะไรบ้าง ทั้งการฝึกทหาร การเข้าเรียน ฟังข่าวการเมืองและอภิปรายแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ร่วมกัน ตรงนี้ทำให้พวกเราหลายคนรวมทั้งตัวฉันเป็นคนที่กล้าพูด กล้าแสดงออก

ทุกคนที่เข้าไปอยู่ในป่าจะได้รับมอบหมายหน้าที่ที่แตกต่างกันไป ซึ่งไม่ว่าจะชอบหรือไม่เมื่อได้รับมอบหมายมาแล้วก็ต้องทำตามนั้น เพราะพวกเราต่างได้รับการปลูกฝังว่า หากเป็นความต้องการหรือความประสงค์ของพรรค พวกเราก็ต้องปฏิบัติไปตามนั้น ตัวฉันเองตอนที่เข้าป่าอยากไปทำงานพวกงานเย็บผ้า แต่ฉันก็ได้รับมอบหมายจากพรรคให้ไปศึกษาด้านการแพทย์เพื่อไปเป็นหมอ เมื่อเป็นความต้องการของพรรค ฉันก็ยินดีปฏิบัติตาม

ตอนเริ่มเรียนหมอนี่เอาจริงๆฉันเพิ่งอายุ 18 ปี แล้วตัวฉันก็ไม่ได้มีความรู้อะไรเลย ทุกอย่างเริ่มจากศูนย์ แต่เมื่อพรรคให้ความเชื่อมั่น ฉันก็มั่นใจและคิดว่าตัวเองจะทำให้ได้

เล็ดลอดไปในแดนปัจจามิตร

คนที่เป็นพยาบาลหรือหมอในป่าหลายคนไม่ได้เรียนหรือฝึกเป็นการเฉพาะมาก่อน อย่างฉันเองก็จบแค่ชั้นป.4 ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะข้อจำกัดด้านทรัพยากรของพรรคและความจำเป็นของสถานการณ์สู้รบที่ต้องการหมอและพยาบาลสนาม แต่อีกส่วนหนึ่งฉันให้เครดิตพคท.นะ ที่เชื่อว่าเราสามารถพัฒนาศักยภาพของตัวเองได้

หลังได้รับมอบหมายให้ไปทำงานด้านการแพทย์ ฉันก็ต้องเข้ารับการศึกษากับทางพรรค มีอาจารย์หมอจากสุราษฎร์ธานีที่เคยไปเรียนแพทย์ที่ต่างประเทศมาสอนให้ เวลาเรียนทางพรรคหรืออาจารย์ก็ไม่ได้มีตำราให้ พวกเราต้องจดในกระดาษเอา ฉันต้องเรียนรู้เรื่องกายวิภาค ศึกษาเรื่องกระดูก เส้นเลือด มัดกล้ามเนื้อ ตอนเรียนกับโครงกระดูกนี่ฉันโดนแซวเลยเพราะฉันเป็นคนกลัวผี เพื่อนในป่าแซวกันใหญ่เลยว่าเป็นนักปฏิวัติประสาอะไรถึงได้กลัวผี

นอกจากเรียนภาคทฤษฎีฉันต้องเรียนภาคปฏิบัติด้วย ไม่ได้เรียนในห้องแล็บอะไรหรอก เรียนจากของจริงนี่หล่ะ เริ่มเรียนวิชาแพทย์ได้ไม่นานฉันก็ต้องเริ่มหัดแทงเข็ม ไม่ได้หัดกับใครก็หัดแทงตามแขนตามร่างกายตัวเองนี่แหละ ช่วงที่ฉันเริ่มฝึกหมอเป็นช่วงที่มาลาเรียระบาดในเขตงาน ฉันเลยได้ฝึกดูแลคนไข้ ทั้งวัดไข้ แล้วก็ฉีดยา

หลังเรียนการแพทย์พื้นฐานได้ประมาณสามเดือน ฉันก็ถูกย้ายไปรับผิดชอบงานด้านการผลิตที่หมวดสองระยะสั้นๆ เสร็จแล้วจัดตั้งก็มาแจ้งว่าพรรคมีมติให้ฉันไปศึกษาต่อด้านการแพทย์ ตอนที่เขามาบอกทีแรกฉันไม่รู้หรอกว่าจะได้ไปที่ไหน รู้แค่ว่าน่าจะต้องไปไกล ใจนึงก็รู้สึกตื่นเต้นอยากไป แต่อีกใจก็ลังเลเพราะคิดถึงพ่อคิดถึงแม่

ฉันเริ่มออกเดินทางประมาณเดือนมกราคมปี 2518 เส้นทางที่ใช้ตอนนั้นจะผ่านค่ายที่พี่ชายคนรองประจำอยู่ด้วย ฉันเลยมีโอกาสได้พบกับพี่ชายคนรองซึ่งพี่ก็เป็นญาติคนเดียวที่ได้ส่งฉันก่อนออกเดินทาง การเดินทางครั้งนั้นใช้เวลาพอสมควรเลยเพราะมันไม่ได้เป็นการนั่งรถตรงไปยังที่หมายทีเดียว แต่เราต้องเดินทางไปตามจุดนัดพบเป็นทอดๆ ช่วงแรกของการเดินทางครั้งนั้นเราต้องเดินทางไปตามภูบรรทัดไปที่ค่ายที่สงขลาก่อน ครั้งนั้นน่าจะใช้เวลาเดินประมาณ 4-5 วัน หลังจากนั้นฉันก็ต้องไปพักคอยอยู่ที่สงขลาอีกประมาณสี่เดือน ถึงได้เดินทางเข้ากรุงเทพโดยไปขึ้นรถไฟที่สถานีรถไฟหาดใหญ่ ตอนนั้นพี่ชายคนโตของฉันที่ทำงานอยู่ในเขตขาว (เขตเมือง) เป็นคนมารับฉันไปที่กรุงเทพ ตอนนั้นฉันกับพี่จากกันไปนานถึงหกปี ตอนที่เจอพี่ฉันเองยังจำไม่ได้เลยว่านั่นคือพี่ชายของตัวเอง ตอนเดินทางฉันเองก็กลัวนะเพราะตอนนั้นไม่มีบัตรประชาชน ถ้ามีตำรวจมาขอดูก็อาจจะมีปัญหา ที่สำคัญเวลานั้นต้องถือเราว่าเราเดินทางในเขตอำนาจรัฐซึ่งเป็นเขตของศัตรู อันตรายเลยอาจขึ้นได้ทุกเวลา แต่สุดท้ายฉันก็มาถึงที่กรุงเทพอย่างปลอดภัย

พอมาถึงที่กรุงเทพ ก็มีสหายที่เป็นผู้ปฏิบัติงานในเขตเมืองมารับฉันแล้วพาไปอยู่ที่บ้านพักของพคท.ในเขตเมือง ก่อนจะพาเดินทางต่อไปยังพื้นที่ภาคเหนือโดยใช้รถตู้เดินทางไปพร้อมกันหลายคน จำไม่ได้แล้วว่ากี่คน บนเส้นทางจากกรุงเทพและภาคกลางจะไม่มีสำนักผ่านทาง และระหว่างการเดินทางพวกเราอาจถูกเรียกตรวจเอกสารหรือถูกจับกุมได้ทุกเมื่อ เพราะถือเป็นการเดินทางในเขตขาวที่รัฐมีอำนาจเหนือพื้นที่อย่างเบ็ดเสร็จ เอาจริงๆสถานการณ์ตอนนั้นมันคือสถานการณ์สู้รบ ถ้าถูกจับระหว่างการเดินทางนี่คือจบเลย เพราะอย่างตัวฉันก็ไม่มีบัตรประชาชน ไม่มีเอกสารยืนยันตัวบุคคลอะไรเลย แต่ฉันก็เชื่อมั่นว่าสหายจะสามารถพาพวกเราไปส่งถึงจุดหมายได้อย่างปลอดภัยซึ่งสุดท้ายก็เป็นเช่นนั้น

จุดหมายแรกที่เราไปถึงในภาคเหนือคือจังหวัดแพร่ ตอนไปถึงนี่สหายพาพวกฉันไปนอนที่โรงแรมอย่างดีเลย เพื่อพักผ่อนเตรียมตัวเดินทางเข้าสู่เขตป่าเขา ระหว่างนั้นฉันก็ต้องเตรียมข้าวของจำเป็นสำหรับการเดินทางด้วย ฉันยังจำได้อยู่เลยว่าสหายนำทางฉลาดมาก เพราะให้พวกฉันเอาของใช้ใส่กล่องห่อของขวัญเพื่ออำพรางเจ้าหน้าที่ หลังพักที่โรงแรมในจังหวัดแพร่ได้สองสามวันสหายก็พาพวกฉันเดินทางต่อไปที่จังหวัดน่าน ระหว่างเดินทางตอนใกล้ๆถึงตัวจังหวัดน่าน รถตู้ของพวกฉันถูกเจ้าหน้าที่รัฐเรียกไปสอบถาม สหายที่เป็นคนนำทางเก่งมากสามารถลงไปพูดคุยเบนความสนใจของเจ้าหน้าที่รัฐไปจากพวกฉันได้ ส่วนของที่เตรียมไปใช้ในป่าที่สหายให้พวกฉันห่อเป็นของขวัญ สหายก็บอกเจ้าหน้าที่ว่าเป็นของที่เตรียมมามอบให้คู่บ่าวสาวในงานแต่งงาน สุดท้ายรถของพวกฉันก็สามารถไปถึงจุดหมายโดยสวัสดิภาพ ที่เขตตีนภูในจังหวัดน่านมีทหารใส่ชุดทปท.มาคอยต้อนรับพวกฉัน วินาทีที่เห็นสหายในชุดทปท.มารอรับนี่ฉันรู้สึกทั้งดีใจและอบอุ่นว่ามาถึงที่หมายแล้วอย่างปลอดภัย

สหายที่มารับพวกเราไปยังฐานที่มั่นคือสหายชนชาติที่พูดภาษาไทยภาคกลางไม่ชัด เนื่องจากพื้นที่ที่เราเดินทางยังไม่ใช่เขตปลดปล่อยที่พคท.สามารถควบคุมได้อย่างเบ็ดเสร็จการเดินทางเลยต้องทำอย่างระมัดระวังและเข้มงวด พวกเราจะเดินทางกันตอนกลางคืนจนสว่างโดยไม่ใช้ไฟเพื่อป้องกันการเสียลับแล้วค่อยพักกันตอนเช้า บางช่วงที่เดินทางไปถึงสำนักหรือเขตงานก็อาจจะได้หยุดพักก่อนจะออกเดินทางต่อ กิจวัตรของพวกเราวนเวียนไปแบบนี้จนกระทั่งถึงฐานที่มั่นพคท.ในภาคเหนือ

ฉันตื่นเต้นมากที่จะได้เห็นฐานที่มั่นภาคเหนือของพคท. เพราะเคยที่ยินเพลงที่เปิดผ่านทางสถานีวิทยุกระจายเสียงประชาชนแห่งประเทศไทย (สปท) ซึ่งมีเนื้อร้องตอนหนึ่งว่า ไร่นาเขียวขจี ธงแดงโบกพริ้วโต้ลมงามตา แต่พอมาถึงจริงๆสิ่งที่ได้เห็นกลับเป็นหญ้าคา ระหว่างที่พักคอยอยู่ที่ฐานที่มั่นภาคเหนือ ฉันมีโอกาสได้พบกับสหายนำของศูนย์กลางพรรค ฉันถึงได้รู้ว่าตัวเองจะได้ไปเมืองจีน

ศัลยแพทย์ฝึกหัด ณ ต่างแดน

ก่อนเดินทางไปจีนฉันต้องข้ามแดนไปรอนักเรียนแพทย์คนอื่นๆที่จะตามมาสมทบที่สำนักผ่านทาง A30 ในฝั่งลาว ฉันรออยู่ที่นั่นเจ็ดเดือนจากเมษาถึงเดือนพฤศจิกายน 2518 สหายที่จะไปเรียนแพทย์รุ่นเดียวกับฉันรวมทั้งหมด 23 คนเดินทางมาถึงที่สำนัก A30 กันครบก็ถึงเวลาออกเดินทางไปประเทศจีน  ตอนนั้นฉันตื่นเต้นมากเลย พวกฉันเดินทางด้วยรถของสหายเวียดไปข้ามแดนไปที่ประเทศจีน ที่ชายแดนจีนจะมีรถอีกคันหนึ่งซึ่งทางการจีนจัดให้ ขับพาเข้ามาส่งในสนามบินแห่งหนึ่ง ที่พวกฉันจะได้ขึ้นเครื่องไปที่คุนหมิง ตอนที่ไปถึงพรรคคอมมิวนิสต์จีนให้การรับรองอย่างดี ฉันกับสหายได้ไปพักอยู่ในโรงแรมที่ค่อนข้างสบายแห่งหนึ่งเพื่อปรับตัวประมาณสี่หรือห้าวัน จากนั้นก็เดินทางด้วยรถบัสอีกประมาณสองวันเพื่อไปที่โรงเรียน

ที่เมืองจีนนี่สหายคนไทยไม่ต้องแต่งเครื่องแบบทปท. แค่ใส่ชุดแบบพลเรือนของจีน สหายคนไทยยังถูกกำชับจากสหายจีนที่เป็นคนดูแลด้วยว่าให้ปิดลับเรื่องที่ตัวเองเป็นคนไทย เหมือนกับว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนเองก็ปิดลับเรื่องที่ตัวเองให้ความช่วยเหลือกับพคท. จำได้ว่าครั้งหนึ่งพรรคคอมมิวนิสต์จีนจัดงานใหญ่แล้วมีบุคคลระดับสูงเดินทางจากเมืองไทยมาร่วมงาน ก็มีสหายจีนมาเตือนพวกเราว่าห้ามไปมีปฏิสัมพันธ์และห้ามแสดงให้รู้ว่าพวกเราเป็นคนไทย ตอนอยู่เมืองจีนนี่ฉันได้ชื่อจัดตั้งเป็นชื่อจีนด้วยนะ เค้าเรียกฉันว่าสหาย ‘หงเหมย’ แปลว่าดอกเหมยสีแดง

สำหรับการเรียนด้านการแพทย์ ทางพรรคคอมมิวนิสต์จีนจัดคณะอาจารย์ที่เป็นหมอทหาร มาเป็นอาจารย์สอนพวกเรา แล้วก็จัดทหารพิทักษ์อีกหมู่หนึ่งมาเป็นพี่เลี้ยงดูแลพวกเราที่โรงเรียนด้วย เวลาสอนอาจารย์จะสอนเป็นภาษาจีนแล้วมีล่ามคอยแปลจากภาษาจีนเป็นภาษาไทย ตอนเรียนนี่ก็ไม่ได้มีตำราอะไรให้หรอกนะ ต้องจดเอาเหมือนตอนที่เรียนแพทย์เบื้องต้นที่เขตงานในพัทลุง ก่อนเริ่มเรียนอาจารย์จะเลือกแผนกให้นักเรียนทุกคนโดยพิจารณาจากความเหมาะสมของสภาพร่างกาย ตัวฉันถูกเลือกไปเรียนศัลยแพทย์ รุ่นฉันมีคนที่เรียนศัลยแพทย์รวมทั้งหมด 12 คน แบ่งย่อยเป็นสองหน่วย จริงๆตอนเรียนฉันก็ต้องเรียนการแพทย์แผนกอื่นๆด้วยเพียงแต่จะเน้นด้านศัลยกรรมเป็นพิเศษ

การผ่าตัดบางครั้งเป็นเรื่องของความเป็นความตาย อาจารย์ให้พวกฉันเริ่มเรียนและทดลองปฏิบัติกับสัตว์ก่อนถึงไปเรียนภาคปฏิบัติกับคน ที่โรงเรียนจะเลี้ยงหมาไว้เป็นฝูงเพื่อใช้เป็นตัวอย่างในการเรียนผ่าตัด ฉันต้องเรียนวิธีการลงมีด การผ่า การเย็บแผล รวมถึงการห้ามเลือด กว่าจะเรียนจบนี่หมาตายไปหลายตัวเหมือนกัน ฉันต้องฝึกการผ่าตัดกับหมาจนกว่าอัตราการรอดชีวิตจะสูงกว่าจำนวนตัวที่ตาย อาจารย์ถึงจะยอมให้เริ่มไปฝึกกับคน ถึงวันนี้ฉันเองก็ยังรู้สึกขอบคุณทั้งพคท.และพรรคคอมมิวนิสต์จีนอยู่เลยที่ให้โอกาส ทำให้ครั้งหนึ่งตัวฉันที่ตอนนั้นจบแค่ป.4 ได้มีโอกาสใส่เสื้อกาวน์ทำหน้าที่รักษาคน

พอฉันแสดงฝีมือในชั้นเรียนจนอาจารย์มั่นใจ อาจารย์ก็ให้ไปร่วมผ่าตัดเคสจริง สถานที่ที่ใช้เรียนภาคปฏิบัติคือโรงพยาบาลของทหาร แต่คนไข้ที่มารับการรักษาส่วนใหญ่จะเป็นพลเรือน เคสใหญ่ๆที่ฉันจำได้ก็มีเคสหญิงตั้งครรภ์คนหนึ่งที่มีก้อนเนื้อบริเวณใกล้ๆมดลูก เคสนี้อาจารย์เป็นคนผ่า ส่วนฉันเป็นผู้ช่วย กรณีแบบนี้จริงๆผ่าไม่ยากแต่พอคนไข้ตั้งครรภ์ก็เลยผ่ายากหน่อย เคสนี้ตอนผ่าตัดเอาก้อนเนื้อออกก็ดูเหมือนจะเรียบร้อย เย็บแผลกลับไปเป็นปกติแต่เหมือนระหว่างผ่าตัดกรรไกรหรือมีดอาจจะไปโดนผนังมดลูกทำให้เลือดออกแล้วเย็บแผลไปโดยไม่รู้ วันนั้นหลังผ่าตัดเสร็จฉันกับอาจารย์หมอก็กลับไปที่พักแต่ปรากฎว่ามีคนมาแจ้งเราว่าคนที่เราเพิ่งผ่าให้กลับมาโรงพยาบาลอีกรอบ มีอาการช็อคเพราะเสียเลือดมาก พอเปิดช่องท้องเลือดมันก็ออกมาเต็มไปหมดจนหาต้นตอไม่ได้ สุดท้ายคนไข้ก็เสีย

อีกกรณีที่ฉันจำได้คือเคสเด็กตกเสาไฟฟ้า อาจารย์เขาลองให้ฉันวินิจฉัย ฉันดูจากข้างนอกก็เหมือนว่าเขาไม่เป็นอะไรมาก แต่อาจารย์บอกให้ลองเอาสลิงค์แทงเข้าไปแล้วดูดเลือดออกมา ปรากฏว่าเลือดออกมาประมาณสามซีซี อาจารย์บอกเลือดออกมาเยอะขนาดนี้ไม่ธรรมดาแล้ว แปลว่าน่าจะมีอวัยวะภายในเสียหาย พอผ่าออกมาปรากฏว่าม้ามแตก แต่เพราะอาจารย์วินิจฉัยเร็วและรักษาทันท่วงที คนไข้เลยปลอดภัย นี่ถ้าฉันเป็นคนวินิจฉัยเองตอนนั้นคนไข้ก็อาจจะเสีย

ตัวฉันเวลาไปอยู่ในเคสที่คนไข้เสียชีวิต ฉันจะรู้สึกสะเทือนใจทุกครั้ง แต่อาจารย์ก็จะให้กำลังใจว่าฉันทำได้ดีแล้ว และสามารถช่วยเคสหลายๆเคสจนคนไข้ปลอดภัย เหมือนกับอาจารย์เค้าเป็นหมอมานาน เข้าใจธรรมชาติของงานว่าการมีคนไข้เสียชีวิตเป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้ แต่ตัวฉันพอมาเจอกับตัวก็ทำใจยากอยู่ อย่างมันมีเคสหนึ่งเป็นเคสเด็กมีเนื้องอกบริเวณนมด้านซ้าย ตอนมาผ่าอาจารย์ก็พยายามปลอบพ่อของเด็กว่าไม่มีอะไรน่าห่วง แต่เคสนี้ผ่ายากจริงๆเพราะมีเนื้อร้ายติดซี่โครง สุดท้ายคนไข้เสียชีวิตเพราะเสียเลือดมาก ตอนคนไข้เสียพวกเรายังพยายามเลาะเอาเนื้อร้ายออกมาอยู่เลย ตอนที่พ่อรู้ว่าลูกเค้าเสีย มันเหมือนโลกของเค้ามันพังทลายไปตรงหน้า แต่ฉันก็เข้าใจอาจารย์ สำหรับหมอถ้าไม่สามารถปล่อยวางได้ก็ยากที่จะไปรักษาคนไข้คนอื่นต่อได้

แขกคนสำคัญ

ตอนอยู่ที่เมืองจีนพรรคคอมมิวนิสต์จีนดูแลพวกฉันดีมาก พวกฉันไม่มีภารกิจหรือต้องทำงานอะไรเลยทำให้ตั้งใจเรียนได้อย่างเต็มที่แล้วก็มีเวลาออกกำลังกาย เล่นกีฬา ใช้ชีวิตได้อย่างสมดุล ตัวฉันเองนี่เล่นกีฬาเก่ง ครั้งหนึ่งมีนักบาสเก็ตบอลทีมชาติจีนแวะมาเยี่ยมที่โรงเรียน ฉันเป็นคนเดียวในบรรดานักเรียนแพทย์ที่ได้ไปเล่นบาสเก็ตบอลร่วมกับนักกีฬาทีมชาติ

ทางพรรคคอมมิวนิสต์จีนเขาถือว่าสหายคนไทยเป็นแขกคนสำคัญที่ทางพคท.ส่งมา เวลามีวันสำคัญของพคท.หรือวันสำคัญทางประเพณีไทย เช่นวันก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยหรือวันสงกรานต์เขาก็จะหยุดเรียนแล้วจัดงานเลี้ยงพิเศษให้

การฝึกใช้อาวุธก็เป็นโอกาสหนึ่งที่ฉันคิดไม่ถึง ฉันได้ฝึกยิงทั้งปืนสั้น และปืนอาก้าของจีน แล้วยังได้ฝึกขว้างระเบิดด้วย ระเบิดที่ใช้เป็นแบบดึงเชือกแล้วขว้าง ตอนฝึกใช้ระเบิดนี่ฉันทั้งตื่นเต้นทั้งกลัว กลัวจะขว้างไปไม่พ้นตัวเอง

หลังเรียนจบหลักสูตรในเดือนเมษายน ปี 2520 ทางพรรคคอมมิวนิสต์จีนก็จัดให้ฉันกับสหายนักเรียนคนอื่นๆไปทัศนศึกษา ใจจริงฉันก็อยากไปปักกิ่งนะ อยากไปเคารพศพประธานเหมาแต่ตอนนั้นเหมือนทางการจีนยังไม่พร้อมให้คนทั่วไปเข้าเคารพศพก็เลยต้องไปทัศนศึกษาที่อื่นกันแทน ที่ฉันจำได้ก็มีอนุสรณ์นายแพทย์นอร์แมน เบธูน หมอชาวแคนาดาที่มาช่วยเหลือการปฏิวัติของจีนแล้วก็มาเสียชีวิตที่นี่ ตอนไปเยี่ยมชมที่นั่นฉันยังถูกเลือกให้เป็นตัวแทนสหายหญิงในการวางพวงมาลาเพื่อรำลึกถึงคุณหมอด้วย นอกจากนั้นก็ได้ไปดูอนุสรณ์ของหลิว หูหลาน วีรสตรีชาวจีนที่ถูกรัฐบาลก๊กมินตั๋งภายใต้เจียงไคเช็คประหารชีวิตด้วยการตัดศีรษะ ตอนที่ไปคุณย่าของหลิว หูหลานยังมีชีวิตอยู่ ท่านเป็นคนเล่าเรื่องราวของหลานสาวให้พวกฉันฟัง คุณย่ายังบอกด้วยว่าตอนที่หลิวเสียชีวิตก็อายุรุ่นราวคราวเดียวกับฉัน ทางพรรคยังพาไปดูสถานที่คุมขังแล้วก็สถานที่ประหารหลิวด้วย มีดที่ใช้ประหารก็ยังอยู่ที่นั่น

ตอนขาไปทัศนศึกษา อาจารย์พาพวกฉันขึ้นเครื่องบินไอพ่นไปใช้เวลาแค่ชั่วโมงเดียว ส่วนขากลับอาจารย์พากลับด้วยรถไฟชั้นหนึ่งของจีนต้องใช้เวลาถึงสองวันสองคืน อาจารย์อยากให้พวกฉันมีโอกาสลองเปรียบเทียบการเดินทางทั้งสองแบบ

วิหคจรคืนรัง

หลังจบหลักสูตรและการทัศนศึกษาในเดือนเมษาปี 20 ฉันก็เดินทางกลับไทย ขากลับฉันเดินทางด้วยเครื่องบินแล้วมาต่อรถยนต์ที่ลาวก่อนจะเดินเท้าข้ามพรมแดนไทยที่เชียงราย จากนั้นก็นั่งรถยนต์จากเชียงรายลงมากรุงเทพ ระหว่างทางจะมีสหายมารับต่อกันเป็นทอดๆ พอมาถึงกรุงเทพฉันก็เจอว่ามีพี่ชายคนโตที่ทำหน้าที่เป็นคนเดินเมล์ระหว่างภาคกลางกับภาคใต้ให้กับพรรค ครั้งนั้นนอกจากจะขึ้นมารับฉันที่กรุงเทพลงไปใต้แล้ว พี่ชายยังพาสหายคนอื่นมาส่งที่กรุงเทพด้วย พอถึงกรุงเทพฉันต้องไปพักรอเดินทางลงใต้อยู่ที่บ้านหลังหนึ่งซึ่งค่อนข้างใหญ่และรองรับสหายได้หลายคน

รอบนั้นรอการเดินทางอยู่หลายวันเลย ระหว่างที่รอฉันก็ได้ฉีดยาให้สหายคนหนึ่งที่ป่วยด้วย หลังจากนั้นฉันก็เดินทางด้วยรถไฟลงใต้ไปที่หาดใหญ่ แล้วก็ไปพักที่หาดใหญ่อีกหลายวันเสร็จแล้วก็เดินทางด้วยรถไปที่อำเภอกันตังในจังหวัดตรังแล้วถึงเข้าป่าภูบรรทัดเพื่อเดินทางกลับพัทลุง ระหว่างที่นั่งรถไฟมีครั้งหนึ่งที่ฉันหันไปเห็นเด็กน้อยคนหนึ่งที่โดยสารมาด้วย พอเห็นแล้วฉันก็แอบร้องไห้ออกมาเลยเพราะเด็กน้อยคนนั้นน่าจะอายุรุ่นเดียวกับน้องชายของฉันในวันที่ฉันเดินออกจากบ้านไปเข้าป่า เลยกลายเป็นว่าพอเห็นเด็กน้อยคนนั้นความรู้สึกหลายๆอย่างมันก็ท่วมท้นขึ้นมา

วันที่กลับมาถึงค่ายเขตสอง ตอนได้เห็นหลังคาที่พัก ได้ใส่ชุดทหารทปท.นี่ฉันน้ำตาไหลเลย แล้วก็เข้าไปกอดกับสหายหลายๆคน บอกไม่ถูกตอนนั้นรู้สึกหลายอย่าง ตื้นตัน ดีใจ ปลอดภัย มันเหมือนกลับมาถึงบ้าน ถึงพื้นที่ปลอดภัยของเราแล้ว ไม่ต้องกังวลเรื่องถูกจับอีกแล้ว ในที่สุดฉันก็ได้กลับมาเป็น ‘สหายขวัญ’ ตามเดิม เพราะก่อนหน้านี้เวลาย้ายเขตงานจะต้องเปลี่ยนชื่อจัดตั้งทุกครั้งเพื่อความปลอดภัย อย่างตอนไปทางเหนือฉันก็ใช้ชื่อสหายปราง ที่จีนก็เป็นสหายหงเหมย พอกลับมาที่พัทลุงฉันก็กลับมาใช้ชื่อจัดตั้งเดิม

ครั้งแรกที่กลับมาถึงฉันนึกว่าตัวเองจะต้องมาทำหน้าที่หมอใหญ่ แต่ปรากฏว่าตอนนั้นมีอาจารย์หมอมาอยู่ที่เขตสองแล้ว อาจารย์หมอก็เลยรับหน้าที่เป็นหมอหลัก ส่วนตัวฉันก็คอยช่วยอาจารย์หมอแล้วก็ดูแลคนไข้ แม้จะไม่ได้ทำหน้าที่เป็นหมอหลัก แต่ฉันก็ทำงานในส่วนของฉันเต็มที่ให้สมกับที่ทางพรรคไว้วางใจส่งไปเรียนถึงเมืองจีน

หลังกลับมาประจำที่ค่ายเขตสองได้ประมาณหนึ่งเดือนฉันก็ถูกส่งตัวไปที่ค่ายเขตสี่ซึ่งเป็นค่ายที่พ่อกับแม่ของฉันอยู่ ตอนแรกพ่อกับแม่ก็ไม่รู้ว่าฉันกลับมาจากเมืองจีนแล้ว พอเห็นหน้าลูกที่ไม่เจอกันนานก็ดีใจใหญ่เลย

ระหว่างอยู่ที่ค่ายเขตสี่มีสหายหญิงท้องแก่คนหนึ่งเจ็บท้องคลอด ฉันเลยต้องทำคลอดให้ ตอนแรกก็ไม่ค่อยมั่นใจเพราะเธอตั้งท้องแรก คนท้องแรกส่วนใหญ่จะทำคลอดยาก แต่สุดท้ายฉันก็ทำคลอดให้สหายหญิงคนนั้นได้อย่างปลอดภัย เด็กน้อยที่ฉันทำคลอดให้วันนั้นมาถึงวันนี้ก็จบเภสัชมาทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ในจังหวัดพัทลุงนี่หละ

จากกันอีกครา

หลังกลับจากจีนฉันพักอยู่เขตสองประมาณหนึ่งเดือน  ได้เจอน้องชายสองคน เขาเข้าป่าตอนที่ฉันไปอยู่เมืองจีน ส่วนพี่ชายคนที่สองกับน้องชายที่เข้าป่าพร้อมฉันพรรคส่งให้ไปอยู่ภาคเหนือ ตอนที่กลับมาถึงที่พัทลุงเลยไม่ได้เจอกัน หลังจากนั้นพรรคส่งให้ฉันไปเขตสี่ที่พ่อเป็นสหายรับผิดชอบเพื่อให้มีโอกาสเจอพ่อกับแม่โดยฉันไปทำหน้าที่หมออยู่ที่นั่น

ที่ค่ายสี่ฉันได้ผ่าตัดเป็นครั้งคราว บางครั้งก็ลงไปทำหมันให้กับชาวบ้านที่เป็นผู้ชาย รวมถึงได้ทำหมันให้กับสหายผู้ชายด้วย มีมวลชนจากพื้นราบถูกหามไปรักษา เป็นอัมพฤกษ์ รักษาประมาณหนึ่งเดือน ฝังเข็ม กินยา ดีขึ้น เดินได้

ระหว่างไปอยู่ที่เขตสี่ ฉันได้ลงมาเยี่ยมบ้าน ซึ่งยังมีน้องๆอยู่ที่บ้านอีกสามคน คนหนึ่งเรียนอยู่ชั้นป.ห้า อีกสองคนที่เป็นฝาแฝดเรียนอยู่ชั้นป.หก น้องๆพอได้เห็นหน้าพี่สาวที่จากกันไปนานก็พากันร้องไห้ด้วยความดีใจ  พอจะกลับเข้าป่าฉันได้พาน้องทั้งสามคนไป พวกเขาต่างดีใจที่จะได้เข้าไปเจอกับพ่อและแม่ ในเวลาต่อมาพวกน้องๆก็ได้เป็นอนุชนที่อยู่ในหน่วยวงดนตรี ชื่อวงจรยุทธ์ ทำหน้าที่ให้ความบันเทิงกับสหายและชาวบ้าน

ฉันอยู่ที่ค่ายเขตสี่กับครอบครัวได้ประมาณสองปีทางพรรคก็ส่งให้ไปช่วยงานหมอที่นครศรีธรรมราช ฉันจำได้ว่าในงานเลี้ยงส่งคืนก่อนออกเดินทาง  ฉันออกไปพูดความรู้สึกที่ต้องจากพ่อแม่ น้องๆและมิตรสหาย เพราะสำหรับฉันมันไม่ใช่การจากกันครั้งแรก ฉันอยู่ในสภาพที่ที่ต้องพลัดพรากจากคนที่รักตลอด แม้จะเข้าใจและเต็มใจไปทำหน้าที่แต่ก็อดร้องไห้ไม่ได้

แรกพบว่าที่คู่ชีวิต

วันที่เดินทางไปถึงที่นคร ที่ค่ายก็จัดงานต้อนรับให้ คนที่ทำหน้าที่เป็นพิธีกรในคืนนั้นชื่อสหายการุณ  ในใจฉันก็แอบชื่นชมสหายการุณว่า สหายคนนี้พูดเก่ง และยังพูดเพราะ พูดดี ท่าทางดี บุคลิกดี

ฉันใช้ชีวิตอยู่ที่นครในฐานะสหายหมอ ทำหน้าที่ผ่าตัดให้ทั้งกับสหายและมวลชนที่ใกล้ชิดกับพรรค ฉันทำหน้าที่ร่วมกับสหายหมอผู้ชายอีกคนหนึ่งที่ไปเรียนรุ่นเดียวกับฉัน หมอผู้ชายคนนั้นไม่ได้อยู่ประจำที่ค่าย เขาจะมาเฉพาะเวลามีการผ่าตัดหรือมีภารกิจอื่น ที่นครศรีธรรมราช จัดตั้งยังเปิดโรงเรียนหมอขึ้นมาสอนนักเรียนหมอด้วย ใช้เวลาสามเดือนในการอบรมสหายหมอได้หนึ่งรุ่น ตัวฉันจะสอนการฝังเข็ม ส่วนสหายหมอสอนที่เล่าไปกับหมออีกคนหนึ่งที่เข้าป่าหลังเหตุการณ์ 6 ตุลา ที่ถูกส่งมาจากอำเภอร่อนพิบูลย์จะสอนอายุรกรรมและการวินิจฉัยโรคทั่วไป

สหายขวัญกับคุณสมยศหรือสหายการุณ

ช่วงที่ฉันอยู่ที่นครก็รู้สึกเหงาอยู่บ้าง ก็ได้อาศัยสหายการุณที่คอยใกล้ชิดพูดคุยให้กำลังใจ บางครั้งก็ร้องเพลงให้ฟัง สหายการุณยังเป็นคนที่เข้าใจภาษาคนพัทลุงด้วย เพราะเขาเคยทำงานที่ค่ายพัทลุงตรังสตูลอยู่ช่วงหนึ่งก่อนที่จะมาอยู่ที่นคร

ความเข้าอกเข้าใจและความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับสหายการุณค่อยๆพัฒนาขึ้นตามลำดับจนทำให้เขาตัดสินใจเปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริงของเขา ความสัมพันธ์ของเรายังเป็นที่รับรู้ของสหายหลายๆคนในค่าย พรรคเองก็รับทราบเรื่องความสัมพันธ์ของเรา จนท้ายที่สุดฉันก็ตอบรับความสัมพันธ์ของสหายการุณ

ในเดือนสิงหาคม 2524 หลังฉันยกระดับความสัมพันธ์กับสหายการุณได้ประมาณสามเดือนเศษฉันก็ต้องกลับค่ายที่เขตพัทลุง ตรัง สตูลอย่างกะทันหันเพราะได้รับข่าวจากทางพัทลุงว่าพ่อกับน้องชายได้รับบาดเจ็บ ฉันออกเดินทางโดยไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้พบกับสหายการุณอีกหรือไม่ เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงที่รัฐทำการปิดล้อมปราบปรามอย่างหนัก รัฐยังใช้ปฏิบัติการจิตวิทยาดึงสหายออกจากป่าควบคู่ไปกับการใช้กำลังปราบปรามด้วย

วันที่พ่อบาดเจ็บ พ่อมาชวนน้องชายไปเยี่ยมสหายก่อนที่เขาจะออกจากป่า ระหว่างทางพ่อบังเอิญเหยียบทุ่นระเบิดที่สหายฝังไว้ที่หน้าค่ายโดยที่พ่อจำเครื่องหมายที่สหายทำไว้ไม่ได้  พ่ออาการสาหัสเกือบถูกตัดขา พ่อเล่าว่าถ้าวันนั้นพ่อถือมีดพร้าไปด้วยคงสับขาตัวเองทิ้งไปแล้ว เพราะมันเกือบขาดอยู่แล้ว  ตรงนี้ต้องยกความดีให้กับสหายหมอที่พยายามรักษาขาไว้จนแผลหาย แต่พ่อก็เดินไม่ได้กระดูกขาดไปเยอะ อาการบาดเจ็บของพ่อทำให้พ่อกับแม่จำเป็นต้องออกจากป่าเพื่อที่พ่อจะได้เข้าไปรักษาตัวที่กรุงเทพ โดยพรรคจัดการอำนวยความสะดวกให้

หลังจากฉันเดินทางออกจากนครฯในเดือนสิงหาคม ในเดือนพฤศจิกายนสหายการุณก็ย้ายมาอยู่ค่ายเดียวกับน้องๆของฉันที่พัทลุงโดยมาประจำในหน่วยที่ทำงานเรื่องวิทยุและการสื่อสาร สหายการุณมาถึงพัทลุงก่อนที่พ่อจะออกจากป่าเลยมีโอกาสเข้าไปเยี่ยมพ่อฉันด้วย แม้พ่อตั้งใจจะสานสัมพันธ์ฉันกับสหายอีกคนหนึ่งที่พ่อชอบและตัวฉันเองก็มีสหายชายเข้ามาชอบพอหลายคน แต่เพราะฉันคิดว่าสหายเหล่านั้นยังไม่ใช่คนที่เหมาะสมฉันก็เลยไม่ได้สานสัมพันธ์กับใคร ส่วนสหายการุณแม้ฉันจะเริ่มสานสัมพันธ์ด้วยแล้วในตอนนั้น แต่ฉันก็ยังไม่พร้อมจะมีครอบครัวเลยไม่ได้จัดพิธีแต่งงานในป่า

คืนเมือง

คืนเมือง

แม้จะได้มาอยู่ในจังหวัดเดียวกัน แต่ฉันกับสหายการุณยังคงให้ความสำคัญกับการทำหน้าที่รับใช้พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยและภารกิจการปฏิวัติเป็นอันดับแรก สหายการุณยังคงทำงานในหน่วยสื่อสารส่วนฉันก็ทำหน้าที่หมอดูแลสหายที่ไม่สบายหรือได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบ ช่วงประมาณปี 2525-2526 สหายออกจากป่ากันเป็นจำนวนมาก น้องๆของฉันก็ออกจากป่าในช่วงนั้น ค่ายที่ค่ายถูกยุบเหลือค่ายเดียว ฉันเองก็ต้องออกเดินทางจากค่ายเขตสามจังหวัดพัทลุง ตรัง สตูล ไปอยู่ค่ายเขตสี่พัทลุงเพื่อให้สหายที่ยังเหลืออยู่ในป่าอุ่นใจว่าหากเจ็บป่วยพวกเขายังจะมีหมอที่คอยทำการรักษาให้

พ่อที่ออกจากป่าไปแล้วเคยมาหาฉันครั้งหนึ่งเพื่อชวนให้กลับบ้าน เพราะเวลานั้นรัฐบาลจัดการอบรมและมอบใบอนุญาตให้สหายหมอสามารถประกอบอาชีพได้ หากฉันกลับไปก็จะได้ประกอบอาชีพช่วยครอบครัวหารายได้ แต่ฉันก็ปฏิเสธพ่อไปว่าฉันยังทิ้งสหายไปไม่ได้ ระหว่างนั้นเองฉันก็ได้สอนให้สหายที่ค่ายประมาณสิบคนให้ทำหน้าที่หมอเพื่อจะให้ดูแลกันและกันได้ พอถึงเดือนกรกฎาคม 2526 ฉันกลับเข้าเมืองไปเยี่ยมพ่อที่บ้าน ก็มีคนมาคุยกับฉันว่าไม่ต้องกลับเข้าป่าไปอีกแล้ว ฉันเห็นว่าสหายส่วนใหญ่ก็ตัดสินใจออกจากป่ากันหมดแล้วก็เลยตัดสินใจไม่กลับเข้าป่าอีกเป็นอันจบช่วงชีวิตในเขตป่าเขา

ภาพจากวันแต่งงานของสหายขวัญ

ก่อนเข้าป่าฉันเคยเสียใจมากที่หลังจากเรียนจบป.สี่ พ่อกับแม่ไม่ให้เรียนต่อ แต่มาวันนี้ก็รู้สึกภูมิใจที่พ่อกับแม่เลือกเดินเส้นทางนี้ พ่อแม่ได้เป็นผู้บุกเบิกเส้นทางที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงให้กับบ้านเมือง ลูกๆรวมถึงตัวฉันก็ได้รับการหล่อหลอมให้มีความอดทน เข้มแข็ง กล้าต่อสู้ไม่กลัวความยากลำบากและมีวินัย มีจิตใจที่รักความเป็นธรรม ไม่ชอบการเอารัดเอาเปรียบ ถึงวันนี้ไม่ว่ามีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างไร ตัวฉันเองก็ยังคงรู้สึกขอบคุณและระลึกเสมอว่า พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย และพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ให้โอกาสในชีวิตกับฉัน รวมถึงประชาชนจีนส่วนหนึ่งที่ฉันได้มีโอกาสใช้ร่างกายของเขาเป็นครูระหว่างฝึกหัดทำการรักษา

สำหรับสหายการุณ ตอนที่ฉันย้ายกลับไปอยู่ที่ค่ายเขตสี่ พัทลุงฉันเคยไปเยี่ยมเยียนเขาอยู่หนึ่งครั้ง แต่หลังจากนั้นฉันก็ไม่ได้ข่าวคราวของเขาอีกเลย หลังฉันกลับคืนสู่เมืองในปี 2526 ฉันเริ่มถอดใจว่าคงไม่ได้มีโอกาสพบเขาอีกแล้ว แต่ก่อนที่ฉันจะได้ไปผูกสัมพันธ์กับผู้ชายในเมือง สหายการุณก็เดินทางกลับเข้าเมืองเพื่อไปเยี่ยมพ่อของเขาที่ป่วยอยู่ที่นครฯ ก่อนกลับเข้าป่า สหายการุณได้มาแวะที่บ้านของฉันเพื่อเยี่ยมเยียน ฉันดีใจมากที่ได้พบกับเขาอีกครั้ง แล้วฉันกับคนในครอบครัวก็ได้ช่วยกันพูดจาให้สหายการุณเปลี่ยนใจไม่กลับเข้าป่าเพื่อลงหลักปักฐานสร้างครอบครัวกับฉัน สุดท้ายสหายการุณหรือ คุณสมยศ สามีของฉัน ก็ตัดสินใจหมั้นหมายกับฉันให้เป็นเรื่องเป็นราวก่อนจะกลับไปเรียนต่อที่ธรรมศาสตร์จนจบแล้วก็กลับมาแต่งงานสร้างครอบครัวที่อบอุ่นและเป็นคู่คิดที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขและเติมเต็มชีวิตของฉันมาจนถึงวันนี้

เรื่องโดย อานนท์ ชวาลาวัณย์
ภาพจาก สหายขวัญ

บทความนี้ร่วมกันผลิตระหว่างพิพิธภัณฑ์สามัญชนและมูลนิธิสิทธิอิสรา เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Dissident Dreams ได้รับการสนับสนุนโดย Democracy Discourse Series มหาวิทยาลัยเดอลาซาล ประเทศฟิลิปปินส์