![](/sites/default/files/styles/display_asset/public/2023-12/d0c7f906-b5d8-4d52-bec6-d7c4324a20c2.jpeg?itok=XdCkGZrF)
![](/sites/default/files/styles/display_asset/public/2023-12/d399385e-9bdf-402e-aacc-585e42678376.jpeg?itok=RipD1X2j)
![](/sites/default/files/styles/display_asset/public/2023-12/6c2c4409-5f29-4dd2-8489-8c0b49b01b65.jpeg?itok=lbOFIvS0)
![](/sites/default/files/styles/display_asset/public/2023-12/6cd54d0f-f17a-4e50-990b-180d33938fa6.jpeg?itok=GX_b481G)
![](/sites/default/files/styles/display_asset/public/2023-12/52502d1c-b2d0-4f33-a9d1-3f68bab6767d.jpeg?itok=3-12C5oB)
![](/sites/default/files/styles/display_asset/public/2023-12/b3179e15-69b6-4444-9648-298a16622703.jpeg?itok=ApflNJqW)
![](/sites/default/files/styles/display_asset/public/2023-12/48d0931d-2def-48c5-95e2-98666b16fae7.jpeg?itok=MSoEq6rQ)
![](/sites/default/files/styles/display_asset/public/2023-12/ce7fb849-d5df-4275-8ea4-ba0899ef2c68.jpeg?itok=Y3lEQrsU)
![](/sites/default/files/styles/display_asset/public/2023-12/579e0e5a-79ea-46cc-acb1-0598d14515cf.jpeg?itok=jYvbaRbt)
![](/sites/default/files/styles/display_asset/public/2023-12/d34da09b-fe55-4f04-8834-577620a1d386.jpeg?itok=K0eY5eX1)
![](/sites/default/files/styles/display_asset/public/2023-12/1b415bf1-4805-45ce-84bf-2d192cc58a62.jpeg?itok=Z9aP50pH)
![](/sites/default/files/styles/display_asset/public/2023-12/bbcf3e8e-ef45-4ce8-a52f-8e39c9a610bd.jpeg?itok=eFa0LeJ6)
![](/sites/default/files/styles/display_asset/public/2023-12/a99f412e-4861-417f-8e56-b88e919adc72.jpeg?itok=iydTU6TA)
Beyond The Headline: การศึกษาสื่อที่มีมากกว่าเรื่องสาร
Beyond The Headline เป็นนิทรรศการที่จัดแสดงภาพถ่าย ที่รวบรวมจากสื่อมวลชนและนักข่าวภาคสนามที่ทำงานในพื้นที่การชุมนุม โดยนิทรรศการนี้จัดแสดงภาพถ่ายในหนังสือพิมพ์ ตั้งแต่ช่วงสลายการชุมนุมหน้าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย วันที่ 17 พฤษภาคม 2535 (พฤษภาทมิฬ) จนถึงเหตุการณ์สลายการชุมนุมครั้งในปี 2564 ซึ่งแต่ละช่วงตอนก็เกิดสถานการณ์ปะทะระหว่างมวลชนกับเจ้าหน้าที่ ทำให้นักข่าวภาคสนามและช่างภาพรับบทแนวหน้าที่ใกล้ชิดกับความรุนแรงเช่นกันกับผู้ชุมนุม ซึ่งหลายครั้งที่ป้าย Press ก็ไม่สามารถป้องกันความรุนแรงจากการปะทะได้
จุดมุ่งหมายหลักของนิทรรศนี้ตั้งใจนำเสนอประเด็นความรุนแรง ที่สื่อภาคสนามได้รับผลกระทบในช่วงที่ลงพื้นที่การชุมนุมตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ในหลายครั้งความวุ่นวายในพื้นที่ทำให้นักข่าวภาคสนามได้รับบาดเจ็บไปจนถึงเสียชีวิต โดยในนิทรรศการได้ยกตัวอย่างการเสียชีวิตของนักข่าวภาคสนามในวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ทั้งฮิโระยูกิ ช่างภาพชาวญี่ปุ่นจากสำนักข่าวรอยเตอร์ และ ฟาบิโอ โปเลงกิ ช่างภาพอิสระชาวอิตาลี ซึ่งศาลอาญากรุงเทพใต้ได้ตัดสินว่าไม่ทราบผู้กระทำและไม่ทราบว่าวิถีกระสุนมาจากทิศทางใด ทั้งนี้ในการรายงานข่าวการชุมนุมในช่วงปี 2563 - 2565 ก็ยังคงมีผู้ปฏิบัติงานสื่อได้รับบาดเจ็บจากการทำงานในพื้นที่ชุมนุมอยู่ แม้เวลาจะผ่านมาเกินสิบปีแล้วก็ตาม
ไม่เพียงแค่การสลายการชุมนุมสองครั้งที่มีสื่อได้รับผลกระทบจากความรุนแรง นิทรรศการยังแสดงให้เห็นถึงจำนวนผู้ได้รับผลกระทบทั้งจากกระสุน พลุ ระเบิด ทำร้ายร่างกาย การจับกุมและการข่มขู่คุกคามในรูปแบบต่างๆเป็นจำนวนมาก โดยนิทรรศการจะแสดงเป็นแผ่นป้ายไล่เรียงไทม์ไลน์ของแต่ละการชุมนุม
นอกจากการทำร้ายร่างกายในพื้นที่ปะทะ หลายครั้งนักข่าวไม่สามารถรายงานสิ่งที่เห็นได้ด้วยเหตุผลเชิงปัจเจก เชิงสังคม และเหตุผลจากการถูกคุกคามโดยอำนาจรัฐ รวมถึงการเซนเซอร์ของสำนักข่าว
“ณ วันที่กำแพงสูงจนไม่อาจเห็นแสงเทียน มีแค่คนที่อยู่หลังกล้องเท่านั้นที่จะเก็บแสงได้”
นอกจากสิ่งพิมพ์จากสำนักข่าวและข้อมูลแล้ว ในนิทรรศการมีภาพจัดแสดงหลายภาพที่คิวเรเตอร์ของนิทรรศการติดต่อกับผู้ถ่ายโดยตรงเพื่อให้ส่งคำบรรยายและความรู้สึกที่มีในขณะที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นๆ ซึ่งคำตอบที่ได้รับก็มีความหลากหลาย เปลี่ยนแปลงไปตามความรุนแรงของสถานการณ์และเอกลักษณ์ของช่างภาพแต่ละคน ประโยค “ณ วันที่กำแพงสูงจนไม่อาจเห็นแสงเทียน มีแค่คนที่อยู่หลังกล้องเท่านั้นที่จะเก็บแสงได้” ก็เป็นส่วนหนึ่งในข้อความที่ช่างภาพได้ฝากไว้
การเรียกร้องสิทธิของผู้เก็บหลักฐานยังมีทางไปต่อ
นิทรรศการยังฝากคำถามถึงผู้เข้าชมด้วยว่าจะมีวิธีใดบ้างที่สามารถหยุดความรุนแรงและผลกระทบ ที่เกิดกับสื่อมวลชนภาคสนามโดยที่ยังสามารถนำเสนอและสื่อสารความจริงในพื้นที่ชุมนุมไปพร้อมกัน โดยในนิทรรศการจะมีส่วนจัดแสดงแบบสำรวจว่าด้วยสิทธิขั้นพื้นฐานที่สื่อควรได้รับทั้งในระดับปัจเจก ระดับองค์กร ไปจนถึงระดับสังคมโดยเปิดพื้นที่ให้ผู้เข้าชมได้แสดงความคิดเห็นว่า “มาตรการใดควรเกิดขึ้นบ้างเพื่อรักษาความปลอดภัยของคนทำงานสื่อ” เช่น จัดการอบรมเพื่อเตรียมความพร้อมให้สื่อมวลชน ให้สวัสดิการเพื่อเยียวยาด้านจิตใจจากการปฏิบัติหน้าที่รายงานข่าว ปรับทรรศนคติเจ้าหน้าที่รัฐที่มีต่อสื่อมวลชน ไปจนถึงการแก้ปัญหาตั้งต่วิธีการสลายการชุมนุมแบบไม่ใช้ความรุนแรง เพื่อป้องกันการเกิดอันตรายต่อทั้งสื่อมวลชนและประชาชน และในนิทรรศการยังจำลองแท่นพิมพ์ดีด ซึ่งเปรียบเหมือนภาพแทนของสื่อ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมได้แสดงความคิดเห็นผ่านตัวอักษรได้อีกด้วย
นิทรรศการ Beyond The Headline ไม่ใช่นิทรรศการแรกที่นำเสนอประเด็นความรุนแรงในมุมมองของสื่อมวลชน แต่ยังมีนิทรรศการก่อนหน้า ที่ส่องสื่อและจับตาการใช้ความรุนแรงต่อสื่อมวลชน ผ่านภาพยนต์สารคดี Watchdog ที่บอกเล่าอุปสรรคของกองบรรณาธิการข่าวนิสิตนักศึกษา ปัญหาเสรีภาพสื่อ และความฝันของคนรุ่นใหม่ที่ส่งต่อตั้งแต่คนตุลา16มาจนถึงราษฎร64
ทั้งสองนิทรรศการนี้เป็นส่วนต่อยอดมาจากงานวิจัย “การรายงานข่าวการประท้วง: บทบาทของสื่อมวลชนไทยในการชุมนุมและความรุนแรงทางการเมือง” โดยผศ.ดร.พรรษาสิริ กุหลาบ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งตั้งใจนำเสนอประเด็นเกี่ยวกับสิทธิการสื่อสารและเสรีภาพสื่อ โดยเน้นบทบาทของสื่อมวลชนที่รายงานข่าว การชุมนุม และความรุนแรงทางการเมืองอีกด้วย