Skip to main content

16 ตุลาคม 2563 คือวันแรกในปี 2563 ที่เจ้าหน้าที่เริ่มใช้รถฉีดน้ำแรงดันสูง ฉีดน้ำใส่ผู้ชุมนุมเพื่อสลายการชุมนุม ครั้งนั้นยังมีรายงานว่ามีการนำสารระคายเคืองมาใช้กับผู้ชุมนุมด้วยเพราะผู้ชุมนุมที่อยู่แนวหน้าให้ข้อมูลว่าพวกเขามีอาการระคายเคือง
.
เหตุการณ์สลายการชุมนุมในภาพใหญ่ สื่อมวลชน องค์กรสิทธิมนุษยชน รวมทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ คงจะบอกเล่าและรายงานเหตุการณ์ไปหมดแล้ว แต่เชื่อว่าคงมีเหตุการณ์อีกหลายๆมุมที่ไม่ถูกรายงานหรือบอกเล่าโดยสื่อมวลชนแต่
ภาพเหล่านนั้นน่าจะยังคงถูกบันทึกในความทรงจำของผู้อยู่ในเหตุการณ์
.
เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2564 พิพิธภัณฑ์สามัญชนจึงจัดกิจกรรมคลับเฮาส์ เชิญชวนผู้อยู่ในเหตุการณ์มาเล่าเหตุการณ์ อารมณ์ ความรู้สึก ที่ผู้ร่วมชุมนุมแต่ละคนได้พบเห็น เพราะเราเชื่อว่าทุกความทรงจำคือหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์สามัญชน

--สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น (16 ตุลาคม 2563) ทำให้เรารู้สึกแย่มากๆ แต่มันก็มีข้อดีคือมันทำให้เรามีกำลังใจสู้มาถึงทุกวันนี้ ทำให้เรารู้ว่าถ้าปล่อยเอาไว้มันจะยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ ก็เลยคิดว่าความเหี้ยแบบนี้ต้องหยุดมันไว้ ไม่รู้ว่าจะทำวิธีไหนเพื่อหยุดมัน รู้แต่ว่าต้องหยุดให้ได้เท่านั้นเอง--

คุณฝุ่น

.
วันนั้นเราไปถึงพื้นที่ชุมนุมค่อนข้างเลทเพราะเพิ่งจะเลิกงาน ตอนไปถึงเราก็ไปอยู่บริเวณหน้าห้างมาบุญครอง แถวหน้าร้านอาหารฟาสต์ฟู๊ดสักร้านหนึ่ง จุดที่เราไปยู่มันเป็นช่วงท้ายๆของห้างมาบุญครองเยื้องมาทำสามย่าน แล้วก็เป็นช่วงท้ายขบวนของผู้ชุมนุมฝั่งนั้นพอดี
.
วันนั้นฝนตกหนัก คนในม็อบหลายคนใส่ชุดกันฝน บางคนถือร่ม ตรงหน้าห้างที่เราไปอยู่ปิดประตูหมดแล้วตอนนั้นเลยได้แต่นั่งอยู่ด้านนอก ตอนที่เราไปถึงเหตุการณ์ก็ยังปกติ ด้วยความที่ตรงนั้นมันอยู่ท้ายๆขบวนแล้วเราเลยต้องอาศัยฟังเสียงบอกต่อมาจากแนวหน้าว่ามีเหตุการณ์อะไร
.
ทีนี้หลังเรามาถึงที่ชุมนุมได้พักหนึ่งเราก็ไปซื้อน้ำ ระหว่างนั้นเองเราก็ได้ยินเสียงกรีดร้องมาจากระยะไกล แล้วเราก็เห็นคนวิ่งมาจากทางแยกปทุมวัน เราเห็นคุณป้าใส่เสื้อสีแดงคนหนึ่งวิ่งมา แกน่าจะอายุหกสิบกว่าปีแล้ว เพราะผมเป็นสีดอกเลาทั้งหัวแล้ว จะด้วยความรีบหรือเพราะอะไรก็ไม่รู้ ป้าวิ่งมาอยู่ดีๆก็สะดุดล้มลงอย่างแรง
.
เหตุการณ์นั้นทำให้เรารู้สึกโกรธมาก มันต้องทำร้ายกันขนาดนี้เลยเหรอ พอเห็นคุณป้าเค้าล้มลงเราก็รีบเข้าไปช่วย พยุงป้าเค้าขึ้นมาแล้วพาไปนั่งตรงริมทางฝั่งห้างมาบุญครอง ในระหว่างที่คนวิ่งแตกฮือมา เราเห็นน้องผู้หญิงอีกคนหนึ่งใส่ชุดพละวิ่งมา เราเห็นน้องเค้ามีท่าทีสับสนเหมือนหลงทางหรือหลงกับเพื่อน เราเลยไปชวนน้องเค้ามานั่งกับเรา พอเราถามน้องเค้าบอกว่าเค้าอายุ 15 ปี น้องบอกเราว่าเค้ามาม็อบกับเพื่อนแต่พอถูกสลายก็ต่างคนต่างวิ่งเลยหลงทางกัน น้องเค้าบอกว่าเค้ามาม็อบครั้งแรก เพราะอยากรู้ว่าม็อบเป็นยังไง รุนแรงจริงไหม แล้วประสบการณ์ครั้งแรกของเค้าคือโดนสลาย สิ่งที่น้องเค้าเล่าให้ฟังทำให้เรารู้สึกสะเทือนใจมาก
.
น้องเค้าเล่าให้เราฟังด้วยว่า ที่เค้ามาวันนี้ที่บ้านไม่รู้เรื่อง ลองคิดดูว่าถ้าคฝ.(เจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชน) จับตัวน้องเค้าไป หรือน้องเค้าหลงทางแล้วหายตัวไปมันจะเป็นยังไง ใครจะรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้น เรารู้สึกแย่มาก เพราะการชุมนุมมันไม่ควรเป็นเรื่องที่น่ากลัว ไม่ควรเป็นเรื่องที่ทำแล้วต้องมานั่งห่วงว่ามันจะเกิดอันตรายไหม มันไม่ควรมีภาพที่เด็กตัวเล็กๆต้องมานั่งร้องไห้เพราะมาม็อบแล้วถูกสลายการชุมนุม น้องเค้าอยู่ตรงนั้นกับเราพักหนึ่ง พอต่อมามีผู้หญิงอีกคนที่จะออกจากพื้นที่แล้วบังเอิญเค้าจะไปทางเดียวกับที่น้องจะกลับบ้านเราเลยฝากน้องน้องเค้าไปด้วย
.
อีกภาพที่ทำให้เราสะเทือนใจคือภาพคุณพ่อคนหนึ่งอุ้มลูกอายุประมาณ 4 - 5 ขวบ ที่ร้องไห้ตลอดเวลา เราไม่รู้ว่าน้องเค้าร้องเพราะโดนแก๊สน้ำตาหรือเพราะอะไร ไม่รู้ว่าเอาเข้าจริงแล้วคุณพ่อคนนั้นเค้ามาม็อบหรือแค่มาซื้อของเพราะแยกปทุมวันมันเป็นย่านท่องเที่ยว ย่านช็อปปิ้ง บางคนอาจจะแค่มาเที่ยวหรือมาซื้อของ แต่สิ่งที่รัฐบาล ที่คฝ.ทำตอนนั้นมันเหมือนการโจมตีแบบไม่เลือกหน้าขอแค่อยู่บริเวณนั้น
.
คุณป้าที่สะดุดล้มเขานั่งกับเราพักนึงแล้วก็ขอตัว บอกว่าป้าจะกลับไปสู้กับมันต่อ แล้วก็เดินหายไป ป้าเสื้อแดงคนนั้นเค้าใจสู้มาก ป้าบอกว่าหนักกว่านี้เค้าก็เจอมาแล้ว เราช่วยป้าขึ้นมานั่งก็จริงแต่ป้าเค้าเข้มแข็งกว่าเรา พอเค้าเห็นเราทำท่ากลัวเค้าก็บอกว่า
.
“ใจเย็นๆหนู รัฐบาลไทยมันก็อย่างงี้แหละ" แล้วป้าก็บอกว่า "สู้นะ เจอเรื่องวันนี้ไปก็อย่าท้อนะ มันอาจจะมีหนักกว่านี้ แต่ป้าไม่อยากให้ใครหมดแรงใจ เพราะถ้าเราหมดแรงใจสุดท้ายจะไม่เหลือใครลุกขึ้นมาสู้เลยนะแล้วอนาคตมันจะหนักกว่านี้”
.
พอป้าเค้าเดินจากไป เราก็นั่งตรงหน้ามาบุญครองต่ออีกพักหนึ่ง อยู่ๆรถจีโน่ก็มาแถวนั้นแล้วก็ฉีดน้ำใส่ทางประตูห้างมาบุญครอง คนที่อยู่ตรงนั้นก็หวีดร้องแล้ววิ่งกระจายตัวกัน เหตุการณ์ก็ชุลมุนขึ้นมาอีก ส่วนหนึ่งที่สถานการณ์สับสนเราคิดว่าน่าจะเป็นเพราะตรงนั้นแทบไม่ได้ยินเสียงรถเวที จะรู้ข่าวจากแนวหน้าก็ต้องอาศัยคนตะโกนต่อๆกันมา บางทีก็ตะโกนว่า เห้ย มันฉีดน้ำ เห้ย มันใช้แก๊สน้ำตา อะไรประมาณนั้น ข่าวมันสับสนมาก ไม่รู้ข่าวไหนจริงข่าวไหนปลอม แต่ที่แน่ๆมีแก๊สน้ำตาเพราะเรารู้สึกแสบตา ตอนนั้นเองที่เราคิดเป็นห่วงคนที่อยู่แนวหน้าว่าเค้าจะเป็นอย่างไรกันเพราะขนาดเราอยู่ห่างจากจุดปะทะตรงแนวหน้าเรายังแสบตาเลย
.
เราอยู่ตรงหน้ามาบุญครองได้พักหนึ่งก็เริ่มมีคนบอกต่อๆกันมาว่าให้ออกจากพื้นที่ เราเห็นคนส่วนหนึ่งถอยไปทางสามย่านเราเลยถอยไปทางนั้นด้วย ระหว่างที่เดินเราจะ Live Facebook ไปด้วยเพราะตอนนั้นมีหลายคนติดต่อเรามาว่าเราปลอดภัยดีไหม เราก็เลยใช่วิธีถ่ายทอดไปเลยจะได้ไม่ต้องตอบคำถามทีละคน เราเดินไปเรื่อยๆจนถึงแถวสามย่านมิดทาวน์ ถึงตรงนั้นเรางงมาก มันเหมือนโลกคนละใบ
.
ความรู้สึกของเราตอนไปถึงสามย่านมิดทาวน์มันเหมือนนอนฝันแล้วตื่นขึ้นมา เรารู้สึกสงสัยว่าเหตุการณ์รุนแรงและความรู้สึกแสบจากแก๊สน้ำตาที่มีอยู่ตอนนั้นมันเป็นเรื่องจริงหรือเราแค่ตระหนกไปเอง เพราะในขณะที่หัวถนนฝั่งปทุมวันเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้อง คนวิ่งหนี คนหกล้ม เด็กร้องไห้ ที่ปลายถนนฝั่งสามย่าน คือมีห้างที่เปิดไฟสว่างไสว มีการประดับประดาห้างด้วยธีมแบบฮาโลวีน เราเห็นคนที่อยู่ในห้างบางส่วนออกมาดูเหตุการณ์ที่คนถอยร่นจากแยกปทุมวันมาทางสามย่าน มีคนในห้างบางคนยกมือชูสามนิ้วมาทางพวกเรา มีเสียงตะโกน "สู้ๆนะ" ดังมา
.
คนที่ออกมาดูพวกเราส่วนหนึ่งน่าจะยังอยู่ในวัยรุ่น เราพอจะรู้ว่าพวกเขาน่าจะไม่ได้มาม็อบเพราะเสื้อผ้าของพวกเขายังอยู่ในสภาพเรียบร้อยขณะที่พวกเราเปียกมะล่อกมะแล่ก การที่พวกเขาตะโกนมาทางพวกเราว่าสู้ๆนะมันทำให้เรารู้สึกว่า เออจริงๆ เราก็ไม่ได้ยืนอยู่คนเดียว ไม่ได้สู้อยู่คนเดียว มันก็ยังมีคนอื่นที่อาจจะอยากสู้ไปกับเราเหมือนกัน ซึ่งมันก็เป็นโมเมนต์ที่ทำให้อบอุ่นหัวใจในท่ามกลางสถานการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น
.
พอมาถึงสามย่านเราก็รู้สึกอยากกลับบ้านแล้ว ตอนนั้นถนนหลายในบริเวณนั้นถูกปิด สถานีรถไฟฟ้าสามย่านก็ปิด จังหวะนั้นเราอึ้งมากเลยว่าทำไมต้องทำขนาดนี้ ทำไมต้องปิดทางกลับบ้านของประชาชน คุณ (เจ้าหน้าที่, รัฐบาล) ต้องการต้องการอะไรจากพวกเรา มันมีจังหวะที่เราถึงขั้นคิดขึ้นมาว่าหรือเขาเห็นเรา(ผู้ชุมนุม) เป็นแค่สัตว์ที่อยู่ในคอกที่เขาจะต้อนเราให้ไปในทางไหนก็ได้แล้วจับเราเชือดทีละคน
.
พอสถานีรถไฟฟ้าสามย่านปิด เราก็ตัดสินใจเดินเท้าไปสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสศาลาแดง ทางเท้าที่จะเดินไปสถานีรถไฟฟ้ามันก็ค่อนข้างมืด ระหว่างทางมีเสียงรถหวอ รถตำรวจ มีเสียงคนตะโกน มีเสียงตำรวจ ตอนนั้นเรายอมรับว่ารู้สึกกลัว ระหว่างที่เรากำลังจะเดินจากสามย่านมิดทาวน์ไปสีลมนั้นเอง เดินมาหาเราถามเราว่าจะไปไหนยังไง เขาคงเห็นเราทำท่าสับสนและเห็นสภาพว่าเราน่าจะมาจากม็อบเลยเดินมาคุย พอเราบอกจุดหมายเขาก็บอกว่าเดี๋ยวจะเดินไปส่ง เราก็บอกเขาว่าไม่เป็นไรเราเดินได้และไม่อยากรบกวนลุงเขาเพราะระยะทางที่เราจะเดินมันก็ค่อนข้างไกล ลุงเขาบอกไม่เป็นไร ลูกเขาเรียนพิเศษอยู่สามย่านมิดทาวน์ เขาจะเดินไปส่งเราแล้วก็เดินกลับมา
.
ตอนที่เดินไปฝนยังตกอยู่ ลุงเขาไม่มีร่ม ไม่มีเสื้อกันฝนแต่เขาก็เดินไปส่งเรา ระหว่างทางเขาก็เล่าให้ฟังว่าเขาอยากไปม็อบอยู่เหมือนกันระหว่างรอลูกเรียน แต่เขาก็คิดว่าถ้าเกิดเขาเป็นอะไรไประหว่างไปม็อบเดี๋ยวลูกก็จะกลับบ้านไม่ได้ เขาก็เลยทำได้แค่ยืนให้กำลังใจจากสามย่านมิตรทาวน์ แล้วก็เลยอยากช่วยเราที่ไปม็อบมาเล็กๆน้อยๆ อย่างน้อยก็ส่งเราขึ้นรถไฟฟ้าอย่างปลอดภัยเพราะทางมันมืด นี่เป็นอีกหนึ่งในเหตุการณ์ที่เราประทับใจท่ามกลางสถานการณ์ร้ายๆในวันนั้น
.
พอเราไปถึงรถไฟฟ้าที่สีลม เราก็ไปเจอเพื่อน คำแรกที่เพื่อนพูดกับเราคือ "มึงกูเป็นมนุษย์นะเว้ย มนุษย์ไม่สมควรจะเจออะไรแบบนี้เลย" คำพูดและความรู้สึกของเพื่อนยังฝังใจเรามาจนถึงทุกวันนี้ วันนั้น (16 ตุลาคม 2563) เรายังไม่รู้ว่ารัฐบาลนี้จะยิ่งเลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นมันแย่พอแล้ว พวกเขาใช้วิธีการแบบนั้นกับคนที่มาชุมนุมทั้งๆที่คนที่ไปชุมนุมส่วนใหญ่ยังไม่พ้นวัยมัธยมปลายด้วยซ้ำ
.
สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นทำให้เรารู้สึกแย่มากๆ แต่มันก็มีข้อดีคือมันทำให้เรามีกำลังใจสู้มาถึงทุกวันนี้ ทำให้เรารู้ว่าถ้าปล่อยเอาไว้มันจะยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ ก็เลยคิดว่าความเหี้ยแบบนี้ต้องหยุดมันไว้ ไม่รู้ว่าจะทำวิธีไหนเพื่อหยุดมัน รู้แต่ว่าต้องหยุดให้ได้เท่านั้นเอง

--อย่างที่เล่าไปว่าตอนที่เราวิ่งนี้ คนส่วนใหญ่ตรงนั้นเป็นนักเรียนนักศึกษาที่อายุไม่เยอะ แล้วก็มีเด็กผู้หญิงหลายคน ความรู้สึกตอนที่เราวิ่งคือเราโกรธมาก เราไม่เข้าใจว่าพวกเขา (เจ้าหน้าที่) ทำกับพวกเราแบบนั้นทำไม พวกเราที่แค่ออกมาเรียกร้อง มาแสดงจุดยืน ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย เราไม่ได้มาเพื่อต่อสู้ใช้ความรุนแรง เราไม่ได้มีอาวุธ--         

คุณซัน

วันนั้นเราไปถึงที่ชุมนุมประมาณ 5 โมงเย็น ที่เรารีบไปเป็นเพราะเราได้ข่าวว่ามีชุมนุมที่นั่น เราเลยอยากไปร่วม อย่างน้อยก็ไปช่วยเพิ่มจำนวนนับอีก 1 คน จุดที่เราไปอยู่ตอนแรกคือหน้าห้างมาบุญครอง 
.
พอมาถึงเราก็นั่งฟังปราศรัยอยู่แถวนั้น นั่งได้สักพักฝนเริ่มตกลงมาหนักมากๆ คนที่นั่นก็เริ่มกางร่มกัน แต่เรากับเพื่อนขึ้นไปหลบฝนที่ห้างมาบุญครอง ระหว่างนั้นเราก็ได้ยินเสียงประกาศบางอย่าง เราเองเพิ่งไปม็อบเป็นครั้งแรกๆก็ไม่รู้ว่าเป็นเสียงอะไร ตอนแรกเข้าใจว่าเป็นเสียงประกาศเริ่มกิจกรรม แต่หลังจากนั้นเราก็ได้ยินเสียงดัง "ปั้ง" ไม่รู้ว่าเป็นเสียงประทัดหรือเสียงอะไร
.
พอดีเสียงดังเราเห็นคนที่รวมตัวบนทางเท้าหน้าห้างมาบุญครองเริ่มวิ่งถอยร่นไปทางสามย่าน เราจำไม่ได้แล้วว่าตอนนั้นมันกี่โมงรู้แต่ฝนเริ่มซา วันนั้นเราไม่คิดว่าจะมีสลายชุมนุมเราก็เอากระเป๋าที่มีงานวิจัยติดไปด้วย พอเห็นคนเริ่มวิ่งเราก็จะลุกขึ้นวิ่งบ้างแต่ก็มีคนมาชนเราจนเราเซล้ม กระเป๋าใส่งานวิจัยก็ตก โชคดีที่หลังจากนั้นมีคนช่วยพยุงเราขึ้นมา
.
จำได้ว่าตอนนั้นเราเห็นคนที่อยู่หน้าห้างมาบุญครองกระโดดข้ามกระถางต้นไม้ที่หน้าห้างกัน เราเองก็กระโดดด้วย ถึงวันนี้ยังงงว่าตอนนั้นตัวเองกระโดดเข้าไปได้ยังไง พอลงมาบนถนนแล้วเราก็เห็นทุกคนวิ่งไปทางเดียวกันคือทางจุฬา
.
ภาพที่เราจำได้ตอนนั้นคือคนที่วิ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กนักเรียนใส่ชุดนักเรียน ตอนที่วิ่งก็มีเสีียงหวีดร้องของเด็กๆที่เหมือนตกใจ บางคนก็ดูสับสนว่าต้องวิ่งไปทางไหน บางคนบอกว่าให้วิ่งไปทางประตูหอในของจุฬา เราเองก็วิ่งไปทางนั้นด้วย พอไปถึงแถวหอในจุฬาได้สักพักก็มีคนทวิตข้อความกันว่าตรงนั้นอาจไม่ปลอดภัย เรากับเพื่อนที่อยู่ด้วยกันเลยคุยกันว่างั้นไปสามย่านมิดทาวน์ดีกว่า
.
เราตั้งใจว่าพอไปถึงสามย่านมิดทาวน์ก็จะขึ้นรถไฟฟ้ากลับบ้าน แต่พอไปถึงก็ปรากฎว่าสามย่านมิดทาวน์ปิดไม่ให้คนเข้า เราแปลกใจมากเพราะตอนนั้นคนที่วิ่งมาทางนี้เป็นแค่เด็ก พวกเขาไม่ได้มีอาวุธอะไร พอสามย่านมิตรทาวน์ปิดไม่ให้คนเข้า เราก็เลยข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามเพื่อเข้าไปหลบในจุฬา พอไปถึงเราก็เห็นว่าคนที่อยู่ในนั้นพยายามจัดกลุ่มกันว่าแต่ละคนอยู่ส่วนไหนของกรุงเทพเพื่อจะได้เดินทางกลับด้วยกันเป็นกลุ่มๆ ตัวเราเองก็หลบอยู่ที่จุฬาจนเกือบๆสามทุ่น ถึงได้เดินไปขึ้นรถไฟฟ้าที่สถานีสีลม

อย่างที่เล่าไปว่าตอนที่เราวิ่งนี้ คนส่วนใหญ่ตรงนั้นเป็นนักเรียนนักศึกษาที่อายุไม่เยอะ แล้วก็มีเด็กผู้หญิงหลายคน ความรู้สึกตอนที่เราวิ่งคือเราโกรธมาก เราไม่เข้าใจว่าพวกเขา (เจ้าหน้าที่) ทำกับพวกเราแบบนั้นทำไม พวกเราที่แค่ออกมาเรียกร้อง มาแสดงจุดยืน ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย เราไม่ได้มาเพื่อต่อสู้ใช้ความรุนแรง เราไม่ได้มีอาวุธ

ตอนที่อยู่หน้ามาบุญครองเรายังไม่รู้เรื่องรถจีโน เราเพิ่งมารู้เอาตอนที่วิ่งมาถึงหอในจุฬาฯแล้วเราเปิดทวิตเตอร์ดู เราถึงเห็นภาพรถจีโน่ฉีดน้ำใส่คนที่ช่วยกันกางร่มสู้ ซึ่งพอเห็นภาพนั้นเรายิ่งรู้สึกโกรธว่าทำไมต้องมาใช้ความรุนแรงกับคนที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยด้วย
.
ส่วนเรื่องการใช้น้ำผสมสีใส่ผู้ชุมนุมเรายืนยันว่าเกิดขึ้นจริง เพราะหลังจากที่วิ่งหนีเราไปเจอกับเพื่อนอีกกลุ่มที่มาชุมนุมเหมือนกัน เพื่อนเล่าให้ฟังว่าโดนน้ำฉีด แล้วเพื่อนก็เปลี่ยนเสื้อเป็นตัวใหม่ ไม่ใส่ตัวที่เปียกน้ำขณะที่เดินกลับบ้าน แต่ส่วนตัวเราไม่ได้ถูกฉีดน้ำด้วย

 

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก iLaw